ในยุคที่ฝุ่นละอองเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตอยู่แบบนี้ สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็คงจะรู้สึกเหนื่อยกับการใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน เพราะทั้งมีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล จาม ไอ อย่างรุนแรง สร้างทั้งความรำคาญและยังส่งให้ผู้ป่วยไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว
ซึ่งเราสามารถสังเกตอาการของผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายๆ เพราะเป็นอาการทางกายภาพที่มักจะปรากฏขึ้นมาให้เห็นเด่นชัด โดยอาการของโรคภูมิแพ้มีตั้งแต่อาการคัดจมูกน้ำมูกไหล ไอ จาม คันจมูก ไปจนถึงอาการหอบ ซึ่งถือว่าเป็นอาการที่รุนแรง นอกจากนี้อาการภูมิแพ้ยังปรากฏอยู่ในอาการต่างๆ ของร่างกายนอกจากอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการผื่นขึ้นหรือที่เรียกกันว่าลมพิษ หรืออาการแพ้อาหารที่เกิดจาการทานอาหารที่ไม่ถูกกับร่างกาย
และหากใครยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นภูมิแพ้หรือเปล่าทางเราก็ขอแนะนำให้ไปตรวจวินิจฉัยจะได้สามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที โดยการตรวจวินิจฉัยแบ่งออกเป็น 2 วิธี
- การตรวจวินิจฉัยผ่านทางผิวหนัง : เป็นการนำสารที่ผูป่วยส่วนใหญ่จะแพ้ลงไปสะกิดลงไปบนผิวหนัง จากนั้นให้ผู้ป่วยรอดูอาการสัก 20 นาที หากมีอาการแพ้จะเกิดตุ่มแดงๆ ขึ้นบริเวณที่หยด
- การตรวจเลือด : เป็นการตรวจเลือดโดยนำเลือดไปหาสารภูมิต้านทานอิมมูโนโกลบิน อี ในเลือดของผู้ป่วยเพื่อดูว่าแพ้อะไรบ้าง
และอย่างที่ทุกๆ คนรู้กันดีว่าโรคภูมิแพ้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และมักจะเกิดอาการเมื่อมีสิ่งที่เราแพ้มากระตุ้นทำให้มีวิธีการรักษาที่เรียกได้ว่าเป็นวิธีป้องกันเสียมากกว่าและจะมีวิธีอะไรบ้างลองไปดูกัน
1. การรักษาโดยการใช้ยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ยาแก้แพ้กลุ่มดั่งเดิมซึ่งหากกินแล้วจะทำให้รู้สึกง่วงซึม กับยาแก้แพ้กลุ่มไม่ทำให้ง่วงซึมซึ่งถูกพัฒนามาจากยาแก้แพ้รูปแบบแรกอีกที
โดยยาแก้แพ้จะมีหลากหลายรูปแบบแล้วแต่เราจะเลือกใช้ ได้แก่ แบบน้ำ แบบเม็ด แบบพ่นจมูก และแบบหยอดยา
2. การรักษาโดยการฉีดยา
เป็นการฉีดวัคซีนแก้แพ้ให้กับเด็กเล็กๆ ตั้งแต่ที่รู้ว่าพวกเขาเป็นภูมิแพ้ โดยการฉีดยาจะมีความต่อเนื่องและต้องฉีดอยู่ตลอดจนกว่าจะไม่พบอาการ
3. การปรับพฤติกรรมของตนเอง
เป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายที่สุดโดยที่เราไม่เสียเงินเลยสักบาท เพราะเป็นเรื่องของสุขอนามัยภายในบ้านเป็นสิ่งสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น หากเราแพ้ฝุ่นก็ควรจะทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ เพื่อกำจัดฝุ่นไม่ให้มีอยู่ภายในบ้าน ลดการเกิดอาการภูมิแพ้ เป็นต้น